ปัญหากลิ่นปากเกิดจากอะไร และวิธีลดกลิ่นปากที่ทำได้จริง

ผู้ที่มีปัญหากลิ่นปาก ต้องหาสาเหตุของกลิ่นปากเพื่อเลือกวิธีลดกลิ่นปากที่เหมาะสม
กลิ่นปากที่ไม่พึงประสงค์ ก่อให้เกิดความไม่มั่นใจในการเข้าสังคม ปัญหาใกล้ตัวที่ไม่ควรข้าม ซึ่งการเกิดกลิ่นปากเกิดได้จากหลายสาเหตุและมีหลายวิธีแก้ไขที่เรียกความมั่นใจของคุณกลับมาอีกครั้งนึง  กลิ่นปากที่ไม่พึงประสงค์ เป็นหนึ่งในปัญหาที่ส่งผลต่อความมั่นใจในการพูดคุยและการเข้าสังคม หลายคนอาจสงสัยว่า กลิ่นปากเกิดจากอะไร และจะมีวิธีลดกลิ่นปากได้อย่างไร ความจริงแล้วสาเหตุของกลิ่นปากมีได้ทั้งจากสุขอนามัยในช่องปาก พฤติกรรมการใช้ชีวิต ไปจนถึงโรคบางชนิด หากเข้าใจสาเหตุอย่างถูกต้อง ก็สามารถหาวิธีแก้ไขและป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กลิ่นปากคืออะไร ?

กลิ่นปาก (Halitosis) คือ ภาวะที่ลมหายใจมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ซึ่งอาจเกิดขึ้นชั่วคราวหลังตื่นนอนหรือหลังรับประทานอาหารมีกลิ่นแรง ไปจนถึงภาวะเรื้อรังที่ส่งผลต่อความมั่นใจในการเข้าสังคม หลายคนมักสงสัยว่ากลิ่นปากเกิดจากอะไร คำตอบคือมีทั้งปัจจัยในช่องปากและปัญหาสุขภาพระบบอื่น ๆ ร่วมด้วย

ความแตกต่างระหว่างกลิ่นปากชั่วคราวกับกลิ่นปากเรื้อรัง

  • กลิ่นปากชั่วคราว : มักสัมพันธ์กับการสะสมของคราบจุลินทรีย์หลังตื่นนอน การรับประทานกระเทียม/หัวหอม หรือปากแห้งชั่วคราว เมื่อทำความสะอาดช่องปากหรือดื่มน้ำมากขึ้น กลิ่นจะดีขึ้น
  • กลิ่นปากเรื้อรัง : เกี่ยวข้องกับโรคในช่องปาก เช่น ฟันผุ เหงือกอักเสบ คราบบนลิ้นสะสมเรื้อรัง หรือโรคประจำตัว เช่น กรดไหลย้อน เบาหวาน โรคทางเดินหายใจ ต้องตรวจและรักษาอย่างเป็นระบบ

สาเหตุการเกิดกลิ่นปาก ?

สาเหตุของกลิ่นปากมีได้หลายประการ ตั้งแต่พฤติกรรมการดูแลช่องปากจนถึงโรคประจำตัว ซึ่งการเข้าใจต้นเหตุจะช่วยให้เลือกวิธีลดกลิ่นปากได้อย่างตรงจุด

1. สุขอนามัยในช่องปากไม่ดี

การไม่แปรงฟันให้ทั่วถึง ไม่ใช้ไหมขัดฟัน หรือไม่บ้วนปากหลังรับประทานมื้ออาหาร ทำให้เกิดการสะสมของคราบจุลินทรีย์และเศษอาหาร เมื่อเชื้อแบคทีเรียย่อยสลาย จะปล่อยก๊าซกำมะถันระเหย (Volatile Sulfur Compounds: VSCs) ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ปากมีกลิ่น

2. ฟันผุ เหงือกอักเสบ และโรคในช่องปาก

รอยผุ ร่องเหงือกลึก และโรคปริทันต์ ล้วนเป็นจุดสะสมของเศษอาหารและแบคทีเรีย ทำให้เกิดกลิ่นเรื้อรังที่ไม่หายไปแม้จะแปรงฟันบ่อย หากปล่อยไว้จะยิ่งทำให้ภาวะอักเสบรุนแรงขึ้นและกลิ่นปากชัดเจนขึ้น

3. ลิ้นมีคราบและเชื้อแบคทีเรียสะสม

ผิวลิ้น โดยเฉพาะบริเวณโคนลิ้น มีร่องปุ่มเล็ก ๆ ที่สามารถกักเก็บเศษอาหารและเชื้อโรคได้ง่าย เมื่อเกิดการสะสมมากขึ้น คราบลิ้นจะเปลี่ยนเป็นสีขาวหรือเหลือง ส่งผลให้มีกลิ่นปาก แม้จะทำความสะอาดฟันแล้วก็ตาม

4. ภาวะปากแห้ง น้ำลายน้อย 

น้ำลาย มีบทบาทสำคัญในการชะล้างเศษอาหารและเชื้อโรค หากน้ำลายน้อยหรือปากแห้ง จะทำให้เชื้อสะสมจนเกิดกลิ่นแรง โดยเฉพาะตอนเช้าที่เกิดภาวะ “น้ำลายบูด” ซึ่งการดื่มน้ำบ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ทำให้ปากแห้ง เช่น กาแฟหรือแอลกอฮอล์ จะช่วยลดปัญหาได้

5. การมีเศษอาหารติดตามร่องฟัน 

เศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟันเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของกลิ่นปาก โดยเฉพาะในผู้ใส่เครื่องมือจัดฟัน เด็ก และผู้สูงอายุ หากปล่อยไว้นานจะยิ่งบูดและทำให้มีกลิ่นแรง ซึ่งการแปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟัน หรือบ้วนปากหลังอาหารจะช่วยลดการสะสมเหล่านี้ได้

6. การรับประทานอาหารที่มีกลิ่นฉุน

อาหารอย่างกระเทียม หัวหอม กะปิ ปลาร้า หรือทุเรียน มีกลิ่นแรงที่ติดทนนาน รวมถึงการดื่มสุราและสูบบุหรี่ซึ่งทำให้เกิดสารเคมีสะสมในช่องปากและปอด ล้วนส่งผลให้เกิดกลิ่นปากอย่างชัดเจน โดยการแปรงฟันและทำความสะอาดลิ้นทันทีหลังมื้ออาหารจะช่วยบรรเทาได้

7. การสูบบุหรี่

บุหรี่ไม่เพียงทำให้ช่องปากแห้ง แต่ยังทิ้งคราบนิโคตินและทาร์ที่กระพุ้งแก้ม ลิ้น และฟัน ส่งผลให้เกิดคราบหินปูนเร็วขึ้น และเป็นหนึ่งในคำตอบที่ชัดเจนเมื่อถามว่ากลิ่นปากเกิดจากอะไร

8. การเกิดโรคบางชนิด 

โรคปริทันต์ที่ทำให้เหงือกมีหนอง รวมถึงโรคทางเดินหายใจอย่างไซนัสอักเสบหรือหลอดลมอักเสบ ล้วนทำให้เกิดการสะสมของเชื้อและเมือก ซึ่งเป็นสาเหตุของกลิ่นปาก หากดูแลช่องปากแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรเข้ารับการตรวจจากทันตแพทย์หรือแพทย์เฉพาะทาง

9. ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ

นอกจากโรคในช่องปากและทางเดินหายใจแล้ว โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบอื่น ๆ ก็ส่งผลต่อกลิ่นปากเหมือนกัน เช่น ภาวะกรดไหลย้อนที่ทำให้กลิ่นจากกระเพาะอาหารย้อนขึ้นคอ หรือโรคเบาหวานที่ทำให้ร่างกายมีภาวะคีโตนสูง ส่งผลให้ปากมีกลิ่นแตกต่างออกไป ผู้ที่มีโรคประจำตัวจึงควรดูแลและควบคุมโรคให้ดีควบคู่กับการดูแลช่องปาก

วิธีแก้ปัญหากลิ่นปากเบื้องต้น

การดูแลขั้นพื้นฐานที่สม่ำเสมอและเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ปากมีกลิ่นจะช่วยลดกลิ่นปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ : แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง รวมทั้งใช้ไหมขัดฟันบริเวณซอกฟันทุกวัน เพื่อลดคราบและเศษอาหารในจุดที่แปรงเข้าถึงยาก
  • ทำความสะอาดลิ้น : ใช้ที่ขูดลิ้นหรือแปรงลิ้นเบา ๆ โดยเน้นบริเวณโคนลิ้น ลดแหล่งสะสมเชื้อที่เป็นตัวการเกิดกลิ่น
  • ดื่มน้ำบ่อย ๆ ป้องกันปากแห้ง : จิบน้ำระหว่างวัน หลีกเลี่ยงคาเฟอีน/แอลกอฮอล์มากเกินไป และพิจารณาเคี้ยวหมากฝรั่งไร้น้ำตาลกระตุ้นน้ำลาย
  • หลีกเลี่ยงอาหารหรือพฤติกรรมก่อกลิ่น : ลดอาหารกลิ่นแรง จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่

วิธีรักษากลิ่นปากโดยทันตแพทย์

ในบางกรณีที่การดูแลเบื้องต้นยังไม่เพียงพอ ปัญหากลิ่นปากอาจเกี่ยวข้องกับโรคหรือภาวะซ่อนเร้นที่ต้องได้รับการรักษาเฉพาะทาง การเข้าพบทันตแพทย์จึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการวินิจฉัยและเพื่อให้แก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด

การตรวจหาสาเหตุโดยละเอียด

ทันตแพทย์จะซักประวัติ ตรวจฟัน เหงือก ลิ้น กลิ่นจากลมหายใจ และประเมินปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เพื่อตอบให้ชัดเจนว่ากลิ่นปากเกิดจากอะไร และในกรณีจำเป็นอาจประสานงานส่งต่อไปยังแผนกอายุรแพทย์ต่อไป

การรักษาฟันผุ เหงือกอักเสบ หรือโรคปริทันต์

ทันตแพทย์อาจแนะนำให้อุดฟัน รักษารากฟัน หรือรักษาโรคปริทันต์ตามข้อบ่งชี้ เพื่อลดแหล่งสะสมเชื้อและการอักเสบที่ทำให้ปากมีกลิ่น

การขูดหินปูนและทำความสะอาดช่องปาก

การขูดหินปูน ขัดฟัน และเทคนิคลดคราบชีวภาพ เช่น AirFlow หรือ Tooth Spa จะช่วยกำจัดคราบที่เกาะแน่นและคราบลิ้น ลดสาเหตุของกลิ่นปากได้

การแนะนำวิธีการดูแลช่องปากเฉพาะบุคคล

สำหรับผู้ที่มีอุปกรณ์ทันตกรรมในช่องปาก เช่น กำลังจัดฟัน มีฟันปลอม อาจมีการปรับเครื่องมือและเทคนิคให้เหมาะกับสภาพช่องปาก เช่น การเลือกแปรง ไหมขัดฟัน น้ำยาบ้วนปาก การดูแลระหว่างใส่เครื่องมือจัดฟัน หรือผู้ที่มีปากแห้งเรื้อรัง

การดูแลระยะยาวเพื่อป้องกันกลิ่นปาก

เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในการป้องกันกลิ่นปากได้อย่างยั่งยืน ควรมีแผนการดูแลและตรวจติดตามอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ดังนี้
  • ตรวจสุขภาพฟันและช่องปากทุก 6 เดือน : เพื่อค้นหาและแก้ปัญหาตั้งแต่ต้น รวมถึงปรับแผนดูแลตามสภาพจริง
  • ปรับพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต : ลดอาหารกลิ่นแรง คุมหวาน ลดบุหรี่-แอลกอฮอล์ พักผ่อนเพียงพอ ดื่มน้ำอย่างเหมาะสม
  • รักษาโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้อง : ควบคุมเบาหวาน รักษากรดไหลย้อน และดูแลโรคทางเดินหายใจ/ไซนัสอักเสบ เพื่อลดปัจจัยกระตุ้นกลิ่น
กลิ่นปาก เป็นปัญหาใกล้ตัวที่แก้ไขได้ เมื่อเข้าใจสาเหตุของกลิ่นปากและเลือกแนวทางดูแลที่ถูกต้อง ตั้งแต่การทำความสะอาดประจำวันไปจนถึงการรักษาโดยทันตแพทย์ หากยังมีข้อกังวลหรือปากมีกลิ่นต่อเนื่อง ควรเข้ารับการตรวจเพื่อวางแผนวิธีลดกลิ่นปากที่ตรงจุดกับคุณที่สุด รีวิวเคสแพ็กเกจ Tooth Spa บทความโดย ทพญ.ณิศรา ธนฤกษ์ชัย เรียกความมั่นใจกลับคืน ด้วย Tooth spa package สวย สะอาด สตรอง ในแพ็กเกจเดียว และควรเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานในการรักษา หากมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถปรึกษากับทันตแพทย์เฉพาะทาง ได้ที่ About Tooth Dental Clinic คลินิกทำฟันติด BTS ที่มีทีมทันตแพทย์คอยให้คำปรึกษาและแนะนำการทำความสะอาด Airflow โดยคุณสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือติดต่อกับเราเพื่อนัดหมายวันตรวจได้ที่โทร. 087-555-4665 (สาขาสยามสแควร์) หรือ 080-481-5555 (สาขา BTS ปุณณวิถี) หรือทาง LINE@ : @abouttooth

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหากลิ่นปาก

กลิ่นปากสามารถแก้ไขได้หากรู้ที่มาของปัญหาอย่างถูกต้อง โดยส่วนใหญ่สาเหตุของกลิ่นปากมักเกี่ยวข้องกับการสะสมของคราบจุลินทรีย์ เศษอาหาร หรือคราบบนลิ้น ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการดูแลสุขอนามัยช่องปากอย่างถูกวิธี เช่น การแปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟัน และทำความสะอาดลิ้นเป็นประจำ นอกจากนี้หากปากมีกลิ่นจากโรคในช่องปากหรือโรคประจำตัว การรักษาโดยทันตแพทย์และแพทย์เฉพาะทางจะช่วยแก้ไขได้อย่างตรงจุด

น้ำยาบ้วนปากสามารถช่วยลดกลิ่นปากได้ในระดับหนึ่ง เพราะช่วยชะล้างเศษอาหารและลดจำนวนเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของกลิ่นปาก อย่างไรก็ตามผลมักเป็นเพียงการแก้ไขชั่วคราว หากปากมีกลิ่นจากปัญหาเหงือกอักเสบ ฟันผุ หรือโรคในระบบอื่น ๆ น้ำยาบ้วนปากเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จำเป็นต้องทำความสะอาดช่องปากอย่างถูกวิธีและเข้ารับการตรวจรักษาเพิ่มเติม

หลายคนสงสัยว่ากลิ่นปากเกิดจากอะไร สาเหตุหลักมักเกี่ยวข้องกับสุขอนามัยช่องปาก เช่น คราบจุลินทรีย์ เศษอาหารติดค้าง คราบบนลิ้น ฟันผุ และโรคเหงือก นอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากพฤติกรรม เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และการรับประทานอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น กระเทียมและหัวหอม รวมถึงโรคประจำตัว เช่น กรดไหลย้อน เบาหวาน และโรคทางเดินหายใจ

หากมีกลิ่นปากเรื้อรังที่ไม่หายไปแม้จะพยายามดูแลสุขภาพช่องปากแล้ว ควรเข้าพบทันตแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุโดยละเอียด เพราะกลิ่นปากเรื้อรังอาจเกิดจากโรคปริทันต์ การสะสมของคราบหินปูน หรือโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหารและทางเดินหายใจ ดังนั้น การรักษาที่ตรงจุดและการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันควบคู่กันไป คือแนวทางที่ช่วยแก้ไขและเป็นวิธีลดกลิ่นปากที่ได้ผลอย่างยั่งยืน

การแปรงฟันเป็นพื้นฐานสำคัญ แต่จะแก้ปัญหากลิ่นปากด้วยวิธีนี้อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เพราะกลิ่นปากจำนวนมากเกิดจากคราบที่สะสมในซอกฟันและบนลิ้น หากไม่ได้ใช้ไหมขัดฟันหรือที่ขูดลิ้น ก็อาจยังเหลือเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของกลิ่นปากอยู่ ดังนั้นควรแปรงฟันควบคู่กับการทำความสะอาดลิ้นและใช้ไหมขัดฟัน รวมถึงตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำเพื่อป้องกันไม่ให้ปากมีกลิ่น

อาหารที่ทำให้ปากมีกลิ่น มักเป็นอาหารที่มีกำมะถันหรือกลิ่นแรงเฉพาะตัว เช่น กระเทียม หัวหอม กะปิ ปลาร้า และทุเรียน กลิ่นเหล่านี้สามารถคงอยู่ในช่องปากและลมหายใจได้นาน นอกจากนี้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และกาแฟยังทำให้ปากแห้ง เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดกลิ่นปากมากขึ้น ดังนั้น การทำความสะอาดช่องปากและดื่มน้ำมาก ๆ หลังรับประทานอาหารเหล่านี้คือวิธีลดกลิ่นปากที่ช่วยบรรเทาได้